ตับแข็งมีอาการอย่างไรบ้าง
ในระยะแรกเริ่มผู้ป่วยอาจไม่มีอาการผิดปกติที่ชัดเจนหรือมีเพียงอาการท้องอืดท้องเฟ้อคล้ายอาหารไม่ย่อย
หลังจากนั้นเป็นแรมปีอาจเริ่มรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เบื่ออาหารคลื่นไส้ อาเจียนเป็นบางครั้ง น้ำหนักลด เท้าบวม
อาจรู้สึกเจ็บบริเวณชายโครงด้านขวาเล็กน้อย อาจมีอาการตาเหลืองเล็กน้อย คันตามผิวหนัง ความรู้สึกทางเพศลดลง
บางรายอาจสังเกตเห็นฝ่ามือแดงผิดปกติหรือมีจุดแดงที่หน้าอก หน้าท้อง
ในผู้หญิงอาจมีอาการประจำเดือนขาดหรือมาไม่สม่ำเสมอ มีหนวดขึ้นหรือมีเสียงแหบห้าวคล้ายผู้ชาย
ในผู้ชายอาจรู้สึกนมโตและเจ็บ อัณฑะฝ่อหรือหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
หลังจากเป็นอยู่หลายปีหรือยังดื่มเหล้าจัดก็จะมีอาการท้องมาน เท้าบวม หลอดเลือดขอดที่ขา หลอดเลือดพองตัวที่หน้าท้อง
อาจอาเจียนเป็นเลือดสดๆ ฯลฯ การตรวจพบและรักษาโรคตับแข็งในระยะแรก รวมทั้งการปฏิบัติตัวให้เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการหยุดยั้งการลุกลามของโรค และเซลล์ตับส่วนที่ยังดีอาจซ่อมแซมส่วนที่เสียได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการยืดชีวิตของผู้ป่วยให้นานขึ้น
แต่ถ้าปล่อยให้มีภาวะแทรกซ้อนชัดเจน เช่น ดีซ่าน ท้องมาน อาเจียนเป็นเลือด เป็นต้น ก็จะย่นการมีชีวิตของผู้ป่วยให้สั้นลง
สาเหตุโรคตับแข็งในทัศนะการแพทย์ตะวันตก
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซี
การดื่มเหล้าจัด
สารเคมีบางชนิดหรือการใช้ยาเกินขนาด เช่น พาราเซตามอล เตตราไซคลีน (ยารักษาโรคติดเชื้อต่างๆ หรือใช้ในการรักษาสิว) ไอเอ็นเอช ไรแฟมพิซิน AZT เป็นต้น
อาจเกิดจากภาวะขาดอาหารหรือภาวะแทรกซ้อนของโรคธาลัสซีเมีย ภาวะหัวใจวายเรื้อรัง ภาวะทางเดินน้ำดีอุดตัน ฯลฯ
อาจเกิดจากเป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีหรือซีมานานโดยไม่รู้ตัว
สาเหตุโรคตับแข็งในทัศนะการแพทย์จีน
การแพทย์จีนได้จัดโรคตับแข็งให้อยู่ในกลุ่มโรคที่เกิดจากการระบายพลังและการปรับดุลยภาพของพลังในตับ
เกิดความผิดปกติร่วมกับภาวะพิษร้อน-ชื้น ที่สะสมในตับ
ในทัศนะการแพทย์จีน หนึ่งในหน้าที่สำคัญของตับคือ การระบายพลังและการปรับดุลยภาพของพลังในตับให้กระจาย
ทั่วทั้งร่างกาย ซึ่งมีความสำคัญต่อ การทำงานของอวัยวะต่างๆ ดังนี้:
ระบายพลังให้กระจายทั่วทั้งร่างกาย หากความสามารถในการระบายพลังของตับลดลง พลังก็จะอั้นอยู่ภายในตับ ทำให้เลือดลมไหลเวียนไม่สะดวกเส้นลมปราณของตับซึ่งอยู่บริเวณชายโครงด้านขวาก็จะติดขัด
จึงเป็นเหตุทำให้เกิดอาการปวดแน่นบริเวณชายโครงด้านขวา ท้องอืดท้องเฟ้อคล้ายอาหารไม่ย่อย เรอ
เจ็บหรือคัดเต้านมหลอดเลือดพองที่หน้าท้อง นอกจากนี้ ภาวะพลังที่อั้นอยู่ภายในตับยังส่งผลให้เลือดจับตัวเป็นลิ่มหรือเป็น
ห้อเลือดและกีดขวางกระบวนการเมตาบอลิซึมของน้ำในร่างกาย หากปล่อยไว้เรื้อรังเซลล์ตับจำนวนมากก็จะถูกทำลายจนกลายเป็น
เยื่อพังผืดและทำให้เกิดท้องมานขึ้นมาได้
กระตุ้นการย่อยอาหารและการลำเลียงอาหาร การระบายพลังของตับมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดต่อการย่อยอาหาร
รวมทั้งการทำงานของกระเพาะอาหารและม้าม หากพลังในตับถูกกีดขวางไม่สามารถระบายออกได้ตามปกติก็จะทำให้ตับและม้ามทำงานไม่สัมพันธ์กันพร้อมทั้งส่งผลกระทบต่อการสร้างและการขับน้ำดี ทำให้เกิดอาการเบื่ออาหาร เจ็บบริเวณชายโครงจุกเสียด
แน่นท้อง ท้องร่วงหรืออุจจาระหยาบไม่จับตัวเป็นก้อน ปากขม ดีซ่าน ฝ้าบนลิ้นขาวจางฯลฯ ซึ่งตรงกับอาการของโรคตับอักเสบ
ตับแข็งและโรคที่เกิดจากเส้นประสาทบริเวณลำไส้ผิดปกติในการแพทย์ตะวันตก
ควบคุมการเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์ การที่ตับสามารถระบายพลังให้กระจายทั่วทั้งร่างกายได้หรือไม่นั้น
มีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับการเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์ การทำหน้าที่ของตับส่วนนี้ตรงกับแนวคิดที่ว่า ตับมีความสัมพันธ์เกี่ยวกับการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติในการแพทย์ตะวันตก หากการระบายพลังของตับผิดปกติก็จะทำให้อารมณ์ผันผวนขี้โมโห
ขี้หงุดหงิดหรือซึมเศร้าได้ และในขณะเดียวกันอารมณ์ผันผวนนี้ก็สามารถทำลายตับได้เช่นเดียวกัน
ส่วนภาวะพิษร้อน - ชื้น ที่สะสมในตับจะทำให้ภูมิคุ้มกันของตับต่ำลงและเอื้อต่อการรุกรานของเชื้อไวรัส
ทำให้อาการอักเสบของตับรุนแรงมากขึ้น เซลล์ตับจึงถูกทำลายให้เป็นเยื่อพังผืดได้มากขึ้น
ไวรัสตับอักเสบ B อยู่ใกล้ตัวเรา
ตับเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในร่างกาย อยู่ใต้ชายโครงด้านขวา เป็นเสมือนโงานเคมีของร่างกาย
ทำหน้าที่สำคัญหลายอย่าง เช่น กักเก็บสารอาหารสังเคราะห์โปรตีน โคเลสเตอรอลและวิตามิน ผลิตน้ำดีเพื่อย่อยอาหาร
ประเภทไขมัน ควบคุม การสันดาปของฮอร์โมน ผลิตสารที่นำเกล็ดเลือดไปห้ามเลือดเมื่อผนังหลอดเลือดได้รับบาดเจ็บ
และกำจัดสารพิษตกค้างในร่างกาย เป็นต้น ตับยังเป็นอวัยวะที่อึดมากๆ ถึงแม้ว่าตับเสียหายไป มากถึง 70% แล้วก็ตาม
แต่คนเราก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการทำงานของตับที่เหลือเพียง30% เท่านั้น ผู้ป่วยโรคตับส่วนใหญ่จึงไม่มีอาการที่ชัดเจน
และไม่แสดงความผิดปกติในผลเลือด แต่พอมีอาการหรือตรวจพบก็มักจะสายเกินไปเสียแล้ว
ไวรัสตับอักเสบ B อยู่ใกล้ตัวเรา...
ตับถูกทำลายได้จากหลายสาเหตุ เช่น การได้รับสารพิษ (สารเคมี ยา แอลกอฮอล์ ฯลฯ) การติดเชื้อหรือไวรัส เป็นต้น
ซึ่งจะทำลายตับแบบเฉียบพลันส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตอย่างรวดเร็วและแบบเรื้อรัง จะทำให้ตับแข็งและอาจกลายเป็นมะเร็งตับในที่สุด ส่วนไวรัสตับอักเสบที่ค้นพบ ในปัจจุบันมีหลายสายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดปัญหามากที่สุดคือไวรัสตับอักเสบ B
เนื่องจากสามารถทำให้เกิดตับอักเสบเรื้อรังจนกลายเป็นตับแข็งและมะเร็งตับได้ ประเทศไทย อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ B สูงมากๆ โดยมีผู้ที่เป็นพาหะคอยแพร่เชื้อให้ให้คนอื่นประมาณ 10% ถ้ารวมถึงผู้ที่เคยติดเชื้อแล้ว อาจสูงถึง 20-50%
เลยทีเดียว ไวรัสตับ อักเสบ B ถ่ายทอดในครอบครัวได้ ถ้ามีคนหนึ่งในครอบครัวเป็นแล้วไม่ป้องกันให้ดีอาจเป็นได้ทั้งครอบครัว
ไวรัสตับอักเสบ B ติดต่อด้วยวิธีใด
ไวรัสตับอักเสบ B ติดต่อด้วยวิธีใด...
ไวรัสตับอักเสบ B อยู่ในเลือด และอาจพบอยู่ในน้ำลาย น้ำตา น้ำนม ปัสสาวะ น้ำอสุจิและน้ำเมือกในช่องคลอด
การติดต่อของไวรัสตับอักเสบ Bที่สำคัญมี 3 ทางด้วยกัน
การติดต่อจากมารดาสู่ทารก เป็นหนทางที่ทำให้เกิดการติดต่อมากที่สุด และคนที่ติด เชื้อตั้งแต่ลอดจะมีความเสี่ยงต่อ
ตับแข็งและมะเร็งตับมากขึ้น รวมทั้งอาจเสียชีวิตตอนอายุยัง ไม่มาก
การติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คนที่มีเชื้ออยู่ในร่างกายไม่ว่ามีอาการหรือไม่มีโอกาสแพร่เชื้อให้คู่นอนได้
การติดต่อทางเลือดและอุปกรณ์ปนเปื้อนเลือด เช่น การให้เลือด การฉีดยา การฝังเข็ม การสักตามร่างกาย การเจาะหู
การทำฟัน การฟอกไต การลองต่างหู การใช้แปรงสีฟันหรือมีดโกนร่วมกับผู้อื่น หรือการใช้เครื่องมือแพทย์ที่ปนเปื้อนเลือด
ของผู้ที่มีเชื้อไวรัส B เป็นต้น
ตับอักเสบไวรัส B มีอาการอย่างไร
ตับอักเสบไวรัส B ชนิดเฉียบพลัน ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน จุกแน่นชายโครง
ด้านขวา และต่อมาจะมีอาการตัวเหลือง ตาเหลืองและ ปัสสาวะสีเข้ม ถึงแม้ว่า 90-95% ของผู้ป่วยตับอักเสบไวรัส B
ชนิดเฉียบพลันจะหายเป็นปกติ ก็ตาม แต่ก่อนที่จะหายในช่วงแรกอาจอักเสบรุนแรงถึงกับตับวายและเสียชีวิตได้ และประมาณ 5-10%
จะกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง
ตับอักเสบไวรัส B ชนิดเรื้อรัง ซึ่งหมายถึง มีอาการอักเสบของตับนานเกินกว่า 6 เดือน ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการ
บางรายอาจมีอาการแค่อ่อนเพลีย ง่วงนอน เบื่ออาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อ เครียดเรื้อรัง ส่วนใหญ่จะตรวจพบโดยบังเอิญ
จากการตรวจร่างกายประจำปี อาการ อักเสบของตับจะเป็นๆ หายๆ เนื่องจาก DNA ของไวรัสได้แทรกเข้าไปใน DNA ของเซลล์ตับ ตราบใดที่มีเซลล์ตับเกิดขึ้นใหม่ ตราบนั้นก็จะมีการขยายพันธุ์ของไวรัส จึงทำให้เซลล์ตับถูกทำลายมากขึ้นเรื่อยๆ จนเสี่ยงต่อตับแข็งและมะเร็งตับได้
พาหะไวรัส B ชนิดเรื้อรัง ส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการใดๆ
พาหะไวรัส B ยังเป็นคนปกติแข็งแรง... จริงหรือไม่
พาหะหรือ carrier ไวรัส B หมายถึงผู้ที่มีไวรัส B อยู่ในร่างกายโดยที่ไม่มีอาการแสดงแต่สามารถแพร่เชื้อไวรัสให้แก่ผู้อื่น
ในบ้านเรา พบผู้ที่เป็นพาหะไวรัส B ประมาณ 10% ด้วย เหตุที่ไม่แสดงอาการ ผู้ที่เป็นพาหะส่วนใหญ่จึงเข้าใจผิดว่า
ตนเองยังเป็นคนปกติแข็งแรงและ ละเลยการดูแลสุขภาพของตับ แต่หารู้ไม่ ไวรัส B ที่อยู่ในร่างกายนั้นเปรียบเสมือนระเบิดเวลา
ซึ่งพร้อมที่จะทำลายเซลล์ตับเมื่อร่างกายอ่อนแอ รวมทั้ง อาจกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรังโดยที่ไม่มีอาการแจ้งเตือนล่วงหน้า
ถึงแม้ว่าพาหะไวรัส B มีผลการตรวจเลือดทดสอบการทำงานของตับที่ปกติก็ตาม แต่เมื่อมีการตรวจเพิ่มเติม
ด้วยการเจาะเนื้อตับออกมาพิสูจน์ก็มักจะพบเนื้อตับถูกทำลายไปไม่มากก็น้อย ซึ่งจะเสี่ยงต่อการเป็นตับแข็งและมะเร็งตับได้
โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นพาหะที่อายุย่างเข้า 40-50 ปีและติดเชื้อจากมารดาตั้งแต่กำเนิด
ผู้ที่เป็นพาหะไวรัส B จึงควรดูแลตับเป็นพิเศษ พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด หลีกเลี่ยง ถั่วลิสงโดยเฉพาะถั่วลิสงป่น
ที่ค้างนานๆ พริกแห้ง กระเทียม เต้าเจี้ยวและเต้าหู้ยี้ ห้ามดื่มเหล้า ออกกำลังกายได้แต่อย่าหักโหม อย่างดอาหารเพื่อลดน้ำหนัก
งดบริจาคเลือดและใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ที่สำคัญคือควรหมั่นตรวจเลือดดูเชื้อไวรัสและทดสอบการทำงานของตับ รวมทั้งตรวจสารแอลฟาฟีโตโปรตีน เพื่อค้นหามะเร็งตับระยะแรกเริ่มทุกๆ 3-6 เดือน ส่วนคนในครอบครัวเดียวกัน
ควรได้รับการตรวจว่ามีภูมิคุ้มกันไวรัส B หรือไม่ ถ้าไม่มีก็ควรฉีดวัคซีนป้องกันไม่ให้ติดด้วย
ตับอักเสบไวรัส B กับมะเร็งตับสัมพันธ์กันอย่างไร
จากสถิติทางคลินิคในปัจจุบันพบว่า กว่า 80% ของผู้ป่วยมะเร็งตับเกิดจากตับอักเสบไวรัส B ส่วนพาหะไวรัส B
จะมีความเสี่ยงต่อมะเร็งตับสูงกว่าคนทั่วไปมากถึง 223 เท่า เหตุไฉนจึงทำให้ตับอักเสบไวรัส B กลายเป็นสาเหตุหลักๆ ของมะเร็งตับ?
จริงๆ แล้วไวรัส B ในร่างกายจะทำลายเซลล์ตับอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการอักเสบและการซ่อมแซมของเซลล์ตับ
อย่างซ้ำๆ ซากๆ นานวันเข้าพังผืดที่คล้ายปุ่มและแผลเป็นที่มีลักษณะแข็งกว่าที่เกิดจากการซ่อมแซมของเซลล์ตับนั้นก็จะค่อยๆ
แทนที่เซลล์ตับที่ปกติ ทำให้ตับแข็งและไม่สามารถทำงานได้ปกติ ตับแข็งจากระยะแรกเริ่มถึงระยะปลายใช้เวลาประมาณ 10~15 ปี ระยะนี้ผู้ป่วยจะไม่มีอาการเลย จนถึงวันที่ตับวายคืออีก 2~3 ปี ก่อนจะเสียชีวิตจึงมีอาการ ซึ่งอย่างมากแค่เพลียๆ จุกๆ นิดหน่อย
หากผู้ป่วยตับแข็งในระยะแรกเริ่มได้รับการรักษา เพื่อลดจำนวนไวรัสและชะลอการอักเสบของตับ ตับก็จะมีโอกาสสร้างเซลล์ใหม่
ขึ้นมาทดแทนส่วนที่เสียไป ภาวะตับแข็งก็จะพัฒนาช้าลง แต่ถ้าผู้ป่วยไม่รู้ตัวหรือไม่รักษาเลย เซลล์ตับที่เกิดขึ้นใหม่จะถูกไวรัส B ทำลายอย่างต่อเนื่องและอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะของ DNA อย่างเฉียบพลัน จนกลายเป็นมะเร็งตับได้ในที่สุด ดังนั้น
วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันมะเร็งตับคือ ต้องรักษาตับอักเสบเสียแต่เนิ่นๆ ส่วนสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งตับมีอัตราการอยู่รอดต่ำคือ มะเร็งตับในระยะแรกที่สามารถรักษาให้หายได้นั้น ผู้ป่วยมักจะไม่มีอาการที่ชัดเจน ทั้งนี้ เนื่องจากตับเป็นอวัยวะที่อึดมากๆ
แม้ถึงขั้นมะเร็งระยะแรก ตับก็ยังคงทำงานได้เกือบปกติ อย่างมากก็มีแค่อาการที่คลุมเครือในผู้ป่วยบางคน เช่น เสียดท้องด้านขวา
ปวดแน่นชายโครงเป็นบางครั้งหรืออารมณ์ฉุนเฉียว เป็นต้น แต่พอมีอาการที่ชัดเจนขึ้น เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
จุกเสียดแน่นท้อง น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว หรือปวดแน่นชายโครงด้านขวา เป็นต้น ก็ยากที่จะเยียวยาแล้ว เพราะมะเร็งตับ
ได้ลุกลามจนเกือบทั่วทั้งตับแล้ว ผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรังและพาหะไวรัส B จึงควรตรวจหาแอลฟาฟีโตโปรตีน เพื่อค้นหามะเร็งตับ
ระยะแรกเริ่มทุกๆ 3-6 เดือน
ตับอักเสบไวรัส B ป้องกันได้อย่างไร
ถึงแม้ว่าผู้ติดเชื้อไวรัส B ไม่จำเป็นต้องกลายเป็นตับอักเสบเสมอไปทุกราย เนื่องจากภูมิ คุ้มกันของร่างกายอาจกำจัดได้
แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยจะกลายเป็นพาหะหรือตับอักเสบเฉียบพลัน และในกลุ่มที่ตับอักเสบเฉียบพลันก็จะมีประมาณ 5-10%
จะกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรังในที่สุด ซึ่งล้วนแล้วจะเสี่ยงต่อการเป็นตับแข็งและมะเร็งตับ ผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจต้องรักษาไปตลอดชีวิต
และค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงมากๆ ตามโรงพยาบาลทั่วไป แต่คุณรู้ไหมว่าเราสามารถป้องกันตับอักเสบไวรัส B ได้
เพียงแค่ไปตรวจเช็คที่โรงพยาบาลว่ามีภูมิคุ้มกันต่อไวรัส B หรือไม่ ถ้ายังไม่มีก็ป้องกันด้วยการฉีดวัคซีนเท่านั้น
ซึ่งน่าจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดในชีวิต ปัจจุบันวัคซีนไวรัส B สามารถได้ผลถึง 95% แต่สำหรับผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัส B มาก่อน
การฉีดวัคซีนจะไม่ได้ผลใดๆ ส่วนผู้ที่มีภูมิคุ้มกันแล้วก็ไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนอีก แล้วคุณไปตรวจภูมิคุ้มกันต่อไวรัส B มาแล้วหรือยัง?
ผู้ป่วยโรคตับควรปฎิบัติตัวอย่างไร
พักผ่อนให้เพียงพอ อย่านอนดึก เนื่องจาก 5 ทุ่มถึงตี 1 เป็นช่วงเวลาที่พลังชี่เดินมาอยู่ที่เส้นลมปราณตับ การพักผ่อน
ในช่วงนี้จะช่วยให้ตับซ่อมแซมตัวเองได้ดีขึ้น
ควรทำจิตใจให้แจ่มใส พยายามหลีกเลี่ยงอารมณ์โกรธ เครียดหรือซึมเศร้าที่จะเพิ่มความรุนแรงของภาวะพลังชี่อั้นในตับ ทำให้ตับถูกทำลายมากยิ่งขึ้น
ออกกำลังกายได้แต่อย่าหักโหม และไม่ควรทำงานตรากตรำเกินไป
หลีกเลี่ยงอาหารประเภทมันๆ ให้รับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเพิ่มขึ้นและอาหารที่ย่อยง่าย โดยเน้นผัก
ผลไม้สดและอาหารที่มีวิตามินสูง
ห้ามดื่มเหล้าและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เด็ดขาด เพื่อป้องกันเซลล์ตับส่วนที่ยังดีอยู่ถูกทำลายมากขึ้น
หลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ดร้อน เช่น ขิงสด พริก ต้นหอมสด กระเทียมสด หอมแดงสด หอมใหญ่สดหรือวาซาบิ เป็นต้น
เนื่องจากจะทำให้อาการเจ็บบริเวณตับกำเริบหรือทำให้อาการหนักขึ้น รวมทั้งจะเพิ่มภาวะร้อน-ชื้นที่ตับด้วย
หลีกเลี่ยงอาหารที่มีการผสมสี วัตถุกันเสียหรือสารปรุงแต่งต่างๆ เนื่องจากจะทำให้ตับทำงานหนักขึ้น
หลีกเลี่ยงอาหารประเภทหมักดองหรือมีสารดินประสิว เช่น ปลาร้า ปลาจ่อม ปลาส้มแหนม ไส้กรอก เบคอน เป็นต้น
หลีกเลี่ยงอาหารประเภทถั่วลิสงคั่วหรือป่น พริกแห้งหรือพริกป่น ข้าวโพด กระเทียม เต้าเจี้ยว เต้าหู้ยี้และอาหาร
เก็บค้างนานๆ เนื่องจากอาจมีเชื้อราอะฟลาทอกซินซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
ควรแจ้งให้แพทย์ทราบว่าเป็นโรคตับ เพื่อให้แพทย์จ่ายยาที่มีผลกระทบต่อตับน้อยที่สุด อีกทั้งไม่ควรใช้ยาอย่างพร่ำเพรื่อ
ควรตรวจเลือดหาสารแอลฟาฟีโตโปรตีน (Alpha-fetoprotein) ทุกๆ 3-6 เดือน เพื่อ ตรวจหามะเร็งตับระยะแรกเริ่ม
ผู้ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบควรบำรุงตับอย่างสม่ำเสมอ ทั้งที่ยังไม่มีอาการ
ผลิตภัณฑ์ที่แนะนำสำหรับโรคที่เกี่ยวข้องกับไวรัสตับอักเสบ B อยู่ใกล้ตัวเรา
หน้าที่เข้าชม | 119,346 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 89,019 ครั้ง |
เปิดร้าน | 3 มิ.ย. 2557 |
ร้านค้าอัพเดท | 29 ส.ค. 2568 |