ตับอักเสบ
โรคไวรัสตับอักเสบหรือไวรัสลงตับเกิดจากการติดเชื้อไวรัสหนึ่งใน 4 ชนิด ได้แก่ ชนิดA, B, C หรือ D ในระยะแรก
อาจเข้าใจผิดว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ได้ โดยจะมีอาการเป็นไข้อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ท้องเสีย เบื่ออาหาร ปวดกล้ามเนื้อและปวดข้อ
ต่อมาจะตามมาด้วยลักษณะเฉพาะของโรคคือ เกิดอาการดีซ่านหรือมีอาการตาและผิวเหลือง เนื่องจากมีน้ำดี
คั่งอยู่ในกระแสเลือดมากขึ้น การมีน้ำดีมากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการคันอย่างรุนแรงและมีปัสสาวะสีเข้ม แต่อุจจาระจะมีสีอ่อน
ไวรัสตับอักเสบแบ่งเป็น 2 ชนิดคือ ชนิดเฉียบพลันและชนิดเรื้อรัง ตับอักเสบเฉียบพลันมักเกิดจากไวรัสชนิดใดชนิดหนึ่ง
แต่การใช้ยาบางอย่างเกินขนาด เช่น พาราเซตามอล เมทิลโดพาที่ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูง ไอเอ็นเอชทีที่ใช้รักษาวัณโรค
หรือสัมผัสสารเคมีบางอย่างเป็นต้น ก็เป็นสาเหตุของโรคได้ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบทุกสายพันธุ์จะทำให้ตับเกิดการอักเสบ
แบบเฉียบพลันได้ แต่ถ้าเป็นสายพันธุ์ B, C และ D จะทำให้ตับเกิดการอักเสบแบบเรื้อรังได้ นอกจากนี้
ตับอักเสบเรื้อรังยังเกิดจากสาเหตุอื่นได้อีก เช่น การดื่มสุรามากเกินไปหรือความผิดปกติของระบบภูมิต้านทาน
ในกรณีที่ร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อต้านตับของตนเอง เป็นต้นโรคตับอักเสบเรื้อรังอาจเกิดการอักเสบ
และการทำลายเซลล์ตับอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจลุกลามจนกลายเป็นโรคตับแข็งและมะเร็งตับได้
ส่วนผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด B และชนิด C อยู่ในร่างกายโดยไม่มีอาการแสดงแต่อย่างใด แต่สามารถแพร่เชื้อ
ให้ผู้อื่นนั้นเรียกว่าพาหะ (carrier) ในประเทศไทยพบคนที่เป็นพาหะของโรคตับอักเสบ B ประมาณ 10% ของคนทั่วไป
ผู้ที่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบ B หรือ C ควรหาทางพักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์ ห้ามดื่มเหล้า ออกกำลังกาย
ได้ตามปกติเช่นคนทั่วไป อย่าอดอาหารเพื่อลดน้ำหนัก งดบริจาคโลหิต ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ และที่สำคัญคือ
ควรหมั่นตรวจเลือดดูเชื้อและทดสอบการทำงานของตับ (Liver function test) รวมทั้งการตรวจหาแอลฟาฟีโตโปรตีน (alpha-fetoprotein) เพื่อค้นหามะเร็งตับระยะแรกเริ่มทุก 6 เดือน เนื่องจากเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อโรคตับแข็งและมะเร็งตับ
สำหรับไวรัสโรคตับอักเสบชนิด B ซึ่งอาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ในปัจจุบันมีวิธีการตรวจเลือดเพื่อวินิจฉัยโรคนี้
ซึ่งมีศัพท์เฉพาะหลายคำที่ควรจะทำความเข้าใจ ดังนี้:
HBsAg หมายถึง แอนติเจนที่อยู่บนผิวของเชื้อไวรัสชนิด B เรียกว่า hepatitis B surface antigen
HBcAg หมายถึง แอนติเจนที่อยู่ตรงแกนกลางของเชื้อไวรัสชนิด B เรียกว่า hepatitis B core antigen
HBeAg หมายถึง แอนติเจนส่วนแกนกลางของไวรัสที่ละลายอยู่ในน้ำเลือด (เซรุ่ม)สามารถตรวจพบก่อนมีอาการแสดง
Anti-HBs หมายถึง แอนติบอดี (ภูมิคุ้มกัน) ต่อแอนติเจน HBsAg ซึ่งจะตรวจพบตั้งแต่ระยะหลังที่ติดเชื้อประมาณ 4-6
เดือนไปแล้ว ผู้ที่มี anti-HBs จะไม่ติดเชื้อไวรัสชนิด B อีก
Anti-HBc หมายถึง แอนติบอดี (ภูมิคุ้มกัน) ต่อแอนติเจน HBcAg ซึ่งจะตรวจพบตั้งแต่ระยะหลังติดเชื้อ 4-6
สัปดาห์ไปแล้ว และจะพบอยู่ตลอดไป
โดยทั่วไปมักจะเจาะเลือดตรวจหา HBsAg, anti-HBs และ anti-HBc ซึ่งจะช่วยในการวินิจฉัยโรค ดังนี้:
ถ้าตรวจไม่พบสารตัวใดตัวหนึ่งดังกล่าว แสดงว่าไม่เคยติดเชื้อและไม่มีภูมิคุ้มกันต่อตับอักเสบจากไวรัสชนิด B
ควรฉีดวัคซีนป้องกัน
ถ้าตรวจพบ HBsAg เพียงอย่างเดียว แสดงว่ากำลังติดเชื้อหรือเพิ่งเป็นโรคนี้ สามารถติดต่อให้ผู้อื่นได้
ถ้าตรวจพบ anti-HBc เพียงอย่างเดียว แสดงว่าเคยติดเชื้อมาไม่นาน แต่เวลานี้ไม่มีเชื้อแล้วและไม่แพร่เชื้อให้ผู้อื่น
ถ้าตรวจพบ HBsAg ร่วมกับ anti-HBc แสดงว่ากำลังติดเชื้อ อาจเป็นแบบเฉียบพลันหรือเป็นพาหะเรื้อรัง
สามารถติดต่อให้ผู้อื่นได้ สำหรับผู้ที่เป็นพาหะเรื้อรัง การฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบชนิด B ไม่มีประโยชน์
เพราะไม่สามารถช่วยกำจัดไวรัสหรือกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อนี้ได้
ตรวจพบ anti-HBc ร่วมกับ anti-HBs แสดงว่าเคยติดเชื้อมาก่อนและมีภูมิคุ้มกันแล้วจะไม่ติดเชื้อซ้ำอีก
ถ้าตรวจพบ anti-HBs เพียงอย่างเดียว แสดงว่าเคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้มาก่อนจะไม่เป็นโรคนี้
ผลิตภัณฑ์ที่แนะนำสำหรับโรคที่เกี่ยวข้องกับตับอักเสบและมะเร็งตับ
หน้าที่เข้าชม | 119,346 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 89,019 ครั้ง |
เปิดร้าน | 3 มิ.ย. 2557 |
ร้านค้าอัพเดท | 29 ส.ค. 2568 |